วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Self-talking –จะคุยกับคนอื่นให้รู้เรื่อง ต้องคุยกับตัวเองให้ได้เสียก่อน!


Self-talking –จะคุยกับคนอื่นให้รู้เรื่อง ต้องคุยกับตัวเองให้ได้เสียก่อน!

ตำราฝรั่งมีการกล่าวถึงการพูดอยู่หลายแบบ...

อันที่ผมชอบก็คือ...
Small talk คือ การพูดคุยกันก่อนเข้าเนื้อหาสาระที่เตรีนมมาคุยกัน เช่น ทักทายปราศรัย คุยเรื่องทั่วไป ดินฟ้าอากาศ อาหารการกิน ถามสาระทุกข์สุกดิบ
Big talk คือ การพูดคุยที่เป็นทางการ (หลังการคุย Small talk) เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งมา

ออีกอันที่ผมชอบมากๆคือ...
‘Self talk’ คือ การคุยกับตัวเอง อยู่กับตัวเอง ประเมินตนเอง
ตามจริง...ฝรั่งเขาก็มีเรื่องนี้เหมือนกันนะครับ Self-talking

อาจารย์วรภัทร์ ภู่เจริญ ได้เขียนเรื่อง Inner Voice ไว้ในหนังสือ HRD 3.0 น่าสนใจมากคือ...

Inner Voice เสียงภายในตัวเรา (ซึ่งก็คือ ความคิดที่ผุดขึ้นมา) 3 แบบ ได้แก่
๑. Voice of Judgement (VOJ) คือ เสียงภายในแห่งการพิพากษาคนอื่น
เช่น ตัดสินคนอื่น เอาให้ชัดไปเลยผิดหรือถูก ใช่ไม่ใช่ แกโง่ฉันฉลาด
สิ่งที่แสดงออกมา คือ...
“ผิดแน่ๆ”
“ฉันไม่ชอบ”
“ฆ่ามัน!”
“ผมเห็นมาเยอะแล้ว”
“คนจนย่อมเลว”

๒. Voice of Cynicism (VOC) คือ เสียงภายในแห่งความรังเกียจ
เช่น ตั้งแง่ ตั้งเงื่อนไข แบ่งแยก แบ่งฝ่าย แบ่งข้าง แบ่งชั้น วรรณะ แกจนฉันรวย
สิ่งที่แสดงออกมา คือ...
“ยี้ ไปไกลๆ-รังเกียจ”
“เหม็นสาบคนจน”
“พวกพนักงานพวกนี้ ได้คืบเอาศอก”

๓. Voice of Fear (VOF) คือ เสียงภายในแห่งความกลัว
เช่น ไม่กล้า ไม่เสี่ยง เกรงกลัว เก็บเงียบ
สิ่งที่แสดงออกมา คือ...
“ทำไม่ได้หรอก”
“เดี๋ยวก็โดนขวางแน่ๆ”
“ไม่เอา..กลัว!”
“อย่าเสี่ยงเลย!”

..............................................................................
ซุนวูกล่าวไว้ว่า...
“รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง”
..............................................................................


ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงที่สุด
อ๋อ ขอรับ




วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Personal Constraints – “ข้อจำกัด”... ที่ทำให้เราไปไม่ถึงดวงดาว!



Personal Constraints – “ข้อจำกัด”... ที่ทำให้เราไปไม่ถึงดวงดาว!

เราทุกคนต่างมี “ข้อจำกัด”... หรือ Personal Constraints
ทั้งนั้น...ทุกคน!

ข้อจำกัดเหล่านี้...
ส่งผลให้ชีวิตเราเดินไปไม่ถึงไหน บางครั้งทำให้เราเจ็บปวดรวดร้าวเสียด้วยซ้ำ...

หนังสือเล่มนี้ดีมากๆครับ...
ถือเป็น Best seller ทีเดียว และแนะนำเลยครับสำหรับเล่มนี้
“ต้องอ่าน”...

ผู้เขียน Flip Flippen เป็นนักจิตวิทยา ที่มีมุมคิดและประสบการณ์เกี่ยวกับชีวิตคนหลายแง่มุม
นำเสนอผ่านข้อจำกัดส่วนบุคคล 10 รูปแบบของข้อจำกัดของคนเรา


ยิ่งมีข้อจำกัดหลายข้อ... ชีวิตก็เหมือนมี “หินถ่วง” อยู่หลายก้อน
ข้อจำกัดมีน้อย ก็เบาตัวกว่า... ไปได้ไกลกว่าคนอื่น...

คนที่มีหินถ่วงอยู่หลายก้อน...
หาก “รู้” ว่าหินที่ถ่วงชีวิตอยู่นั้น มีกี่ก้อน? อะไรบ้าง ?
แล้วเลือกที่จะ “โยนหินที่ถ่วงทิ้งไป”...โดยเฉพาะโยนหินถ่วงก้อนที่ใหญ่ที่สุดออกไปจากตัว
รับรองได้ว่า...
ชีวิตจะเบาขึ้น...สบายมากขึ้น...
การเดินทางของชีวิตจะไปได้ไกลมากกว่าเดิม....
สูงกว่าเดิม...

มี “กฎ” Laws อยู่ 5 ข้อสำหรับพิจารณาเกี่ยวกับ “ข้อจำกัด” เหล่านี้ ได้แก่
๑. ทุกคนมีข้อจำกัดแน่นอน
๒. หากคุณไม่รู้และไม่จัดการข้อจำกัดเหล่านี้ คุณไม่มีทางชนะมันได้
๓. ข้อจำกัดเหล่านี้ มันจะออกฤทธิ์ด้วยตัวของมันเอง(โดยคุณไม่ต้องสั่ง) ในทุกๆเรื่องของชีวิตคุณ
๔. ข้อจำกัดเหล่านี้ มันมีลักษณะที่จำเพาะ
๕. ใครก็ตามที่มีข้อจำกัดน้อยที่สุด...คนนั้นคือ “ผู้ชนะ” ในเกมส์



ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงที่สุด
อ๋อ ขอรับ

วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Season the seasonings เติมให้พอดี ย่อมดีกับชีวาและอารมณ์














Too Much of a Good things...


โดยปรกติแล้ว คุณสามารถเติม "เครื่องปรุงรส" ใส่ลงในอาหารที่คุณกำลังประกอบอยู่ได้



สิ่งหนึ่งที่ต้องระลึกเสมอคือว่า...



เติมลงไปแล้ว เอาออกไม่ได้...


.......


เค็ม ก็คือเค็ม...



เผ็ด ก็คือเผ็ดร้อน...


........


ข้อคิด หรือข้อเสนอก็คือว่า...

เติมเครื่องปรุงรส "สักเพียงครึ่งที่คุณคิด" ก่อน... แล้วชิมดู...


หากไม่เพียงพอก็จึงเพิ่มลงไป


...........................................



สิ่งที่ดีๆ หากเราใช้มันเกินพอดี


มันก็อาจจะกลับเป็นสิ่งที่เป็นปัญหาก็ได้


Season the seasonings เติมให้พอดี ย่อมดีกับชีวาและอารมณ์





อ๋อ




วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

HRD 3.0 - รู้จัก 6B ที่ทำให้ชาติล่มสลาย จาก อ.วรภัทร์




HRD 3.0 - รู้จัก 6B ที่ทำให้ชาติล่มสลาย

จากหนังสือของ อ.วรภัทร์ ภู่เจริญ


น่าสนใจครับ...

อาจารย์มักมีมุมใหม่ๆที่ทำให้คิดและจำได้ง่ายๆ

อีกทั้งยังถือว่า...

เป็นประเด็น "กระแทกเข้าไปในทรวง" เลยทีเดียว!


อย่างครั้งนี้ ประเด็นเรื่อง 6B ของอาจารย์นี่สุดยอดครับ


1. Ble "เบิ้ล" แบบดูถูกกัน ทับถมกัน สบประมาทกัน (ส่วนตัวผมชอบคำว่า "บั้บกัน")


2. Bee "บี้" กัน กดดัน เร่งรัด จี้เอา ทำให้คนเครียด สับสน รนราน


3. Bai "ใบ้" เงียบไว้ อมภูมิ แกล้งโง่ แกล้งเงียบ (กลัวงานเข้า ไม่เอางาน) ไม่ตัดสินใจ ลอยไปเรื่อยๆ


4. Boa "โบ้ย" โยนไปให้คนอื่น โยนความผิด โยนงาน โทษคนอื่น


5. Block "บล็อค" กัดกัน ดับความคิดคนอื่น ทำลายจินตนาการ กลัวไปหมด ห้ามไปทุกเรื่อง ไม่กล้าเสี่ยง


6. Blame "เบลม" ตำหนิ ต่อว่า ดับกำลังใจ ด่วนพิพากษาคนอื่น โทษคนอื่น


"สุดยอด" ครับ...

เห็นภาพเลย...ชัดเจน


ยิ่งมองเข้าไปองค์กรไทยแล้ว ก็ต้องบอกว่า..."ใช่เลย"


อ๋อ ขอรับ




วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Speaking with Clarity



























Speaking with Clarity


เมื่อท่านต้องร่างคำพูดเพื่อไปกล่าว...
ณ ที่ไหนก็ตาม...

อย่าเลือกใช้ "คำ" อะไรก็ตามที่ท่านไม่คุ้นเคย


....

เพราะท่านอาจจะต้องก้มดูร่างบ่อยๆ หรือ...

อาจจะทำเอาท่านพูดผิดพูดถูกก็เป็นได้

.....


ดังนั้น...


ใช่คำ "ง่ายๆ" ที่ท่านคุ้นเคยนั่นล่ะ... "ดีแล้ว".



วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Make words work for you - ทำให้การพูดนำคุณไปสู่ความสำเร็จ

Make words work for you
ทำให้การพูดนำคุณไปสู่ความสำเร็จ

ความสำเร็จ...
เกิดขึ้นได้จากการพูด ในสิ่งที่ “ตรงประเด็นเหมาะสม” และในช่วง “เวลาที่เหมาะสม”
(Saying the right things at the right time!)



แนวทางแนะนำจากหนังสือเล่มนี้ คือ...

๑.    เลือกคำหรือประโยค อย่างระมัดระวัง

๒.     สร้างประโยค 2 แบบ แล้วเลือกเอาประโยคที่ดีที่สุด (อีกประโยคทิ้งไป)
ไม่เอาประโยคที่มีคำหยาบ คำพูดไม่ดี คำพูดกำกวม สื่อสารอาจผิดเพี้ยนไป

๓.    จงจำไว้ว่า “คนมักจะทึกทักเอาจากคำพูด” ว่าคุณเป็นคนอย่างไร
ดังนั้น อย่าขี้เกียจที่จะฝึกฝน เลือกหาคำที่ไม่สะท้อนว่าคนเป็นคนอีกแบบหนึ่ง(ในทางลบ)

๔.    ถาม “คำถาม” เป็นเรื่องดีที่จะช่วยการพูดคุย
การถามคำถาม ถือเป็นทักษะสำคัญอย่างหนึ่งในการสื่อสาร/สนทนา
ดังนั้น การถามคำถาม โดยเฉพาะการใช้คำถามเปิด open question จะช่วยให้การสนทนามีประสิทธิภาพสูง

๕.    ระวังการใช้คำว่า “ทำไม?”
การใช้คำถาม “ทำไม?” มีความรู้สึกไม่ดีบางอย่างเกิดขึ้นในเรื่อง “การตัดสิน” มากกว่าที่จะเป็นการสนทนาแบบลื่นไหล รักษาบรรยากาศที่ดี และสร้างทางเลือกมากมายในการสนทนา จึงควรเลี่ยง

๖.    อย่าให้คำว่า “คุณ”(You) เป็นภาพเชิงลบ (be negative)
ธรรมดาแล้ว การใช้คำว่า “คุณ” มักถูกมองหรือรู้สึกว่า กำลังกล่าวโทษคนๆนั้นอยู่ หรือเป็นเหมือน “คำสั่ง” เสียมากกว่า
ลองหาวิธีที่จะทำให้ประโยคดังกล่าว เป็นไปในเชิงบวกมากขึ้น เช่น
“ฉันคิดว่า มันอาจจะดีกว่าที่จะ...”
“มันจะดีกว่าไหมที่จะ...”

๗.   คุยด้วยบรรยากาศที่เปิดเผย ระหว่างกันและกัน

๘.    มันอาจจะไม่เกี่ยวกับสิ่งที่กำลังพูดกันอยู่จริงๆนักหรอก!
เคยไหมครับที่เราต้องพูดอะไรบางอย่าง แต่โดยส่วนลึกแล้วมันมีเรื่องอื่นๆอีกที่เราอาจจะบอกไม่ได้หรือไม่ได้บอกไปทั้งหมด แม้ว่าผลลัพธ์ที่เราต้องการมันเป็นเรื่องเดียวกัน
ตัวอย่างในหนังสือพูดถึง...
นาย ก. ขอไปสัมมนาที่ลาสเวกัส เจ้านายนาย ข. ถามว่า อะไรคือสิ่งที่องค์กรจะได้บ้าง? ใช้เงินเท่าไร? คุ้มไหม?
นาย ก. ก็คงไปสัมมนาเพื่องานจริงๆนั่นแหล่ะครับ แต่ในหัวนาย ก. ก็คงอยากจะไปเปิดหูเปิดตาในเรื่องอื่นๆบ้าง ถือเป็นกำไรชีวิตไป ไหมๆก็จะไปถึงลาสเวกัสแล้ว
การพูดคุยจึงต้องสนทนากันอย่างเข้าใจทั้งเหตุผลเบื้องหน้าและเบื้องหลังครับ


ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงที่สุด
อ๋อ ขอรับ

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Knowing where to spend your money

Knowing where to spend your money



.....................
อย่าไปหาร้านลดราคา หรือ...
ร้านขายของถูกเลย...
สำหรับ “รองเท้า” และ “เตียงนอน”

เพราะของสองสิ่งนี้...
คือสองสิ่งที่คุณจะต้องใช้มัน “ทุกวัน”
ของชีวิตของคุณ
“ตลอดชีวิต”...
...................
ยอมจ่ายเถอะครับ เพื่อชีวิตของคุณเอง...
....................

ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงที่สุด
อ๋อ ขอรับ

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ฉันทำได้... ใช่! ฉันทำได้ (I can do it… I can!)

I can do it… I can!
(Refer to Book: Transform your life by Penny Ferguson)



ฉันทำได้... ใช่! ฉันทำได้ (I can do it… I can!)

“ความมั่นใจ” มีคนบอกว่า มันสร้างได้...
มันคือ ทักษะอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ชีวิตของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น
และ...
มีหลายครั้งหลายครา...
ที่เราสร้าง “ความไม่มั่นใจ” ขึ้นมาเอง ทำให้เราไม่สามารถทำอะไรในสิ่งที่เราอยากทำได้
(stop us from doing things that we want to do!...)

มีผู้หญิงคนหนึ่ง...แบ่งปันว่า...
ในที่ประชุมคราหนึ่ง ที่เธอนั่งประชุมด้วย
โดยปรกติแล้ว เธอจะนั่งฟังเงียบๆจนจบการประชุมเสมอ
แต่เธอคิดว่า เธอก็มีความคิดอะไรดีๆที่จะช่วยการประชุมได้ เพียงแต่เธอไม่กล้าที่จะพูดออกไป
และเธอตั้งข้อสังเกตอันหนึ่งว่า...
บ่อยๆที่หลังจบการประชุม จะมีคนพูดกันว่าไม่เห็นรู้เรื่องเลย “เจ้านายพูดอะไรเนี่ย?”...
ครั้งนี้เธอจึงตั้งใจว่า...จะถามคำถามกับเจ้านาย เพื่ออย่างน้อยน่าจะทำให้เจ้านายได้อธิบายอะไรบางอย่างเพื่อให้คนเข้าใจมากขึ้น (นี่คือการช่วยเหลือทีมงานในองค์กร)...
เธอเองก็รู้สึกวุ่นวายใจ แต่สุดท้ายเธอเรียก “ความเชื่อมั่น” แล้วถามออกไป ดังที่ตั้งใจไว้
ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นดีเกินคาด!...
ไม่เพียงแต่เพื่อนร่วมงานที่มาขอบคุณเธอกับคำถามที่ทำให้เจ้านายตอบให้กระจ่างมากขึ้น
แต่ เจ้านายเองก็เดินมาขอบคุณเธอที่ถามคำถามในที่ประชุม...

หลายๆครั้ง...
เรามักจะมีความคิดบางอย่าง วิ่งเข้ามารบกวนความมั่นใจหรือความตั้งใจในหัว...
ส่งผลให้เราละเลยที่จะทำสิ่งดีๆอย่างเรื่อง ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
เราก็จะพลาดโอกาสดีๆหรือประสบการณ์ดีๆ “หลายอย่าง” ในชีวิตของเราไป

ลองดูใหม่นะครับ...
เอา “ความมั่นใจ” เป็นตัวตั้งของ “ความตั้งใจ”
อย่าปล่อยให้ เราเองสร้าง “ความไม่มั่นใจ” ที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตของเราเอง ให้พลาดสิ่งดีๆในชีวิต

“เปลี่ยน” ตั้งแต่วันนี้...วินาทีนี้เลย!
(Transform your life…Now!)

ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงที่สุด
อ๋อ ขอรับ

Pausing to ‘Think’


Pausing to ‘Think’

เมื่อต้องตอบคำถามที่สำคัญ...
ก่อนตอบให้หยุดคิด โดยนับในใจ อย่างน้อยนับ 1-2-3...
คำตอบของคุณจะดูดี...
ดูเหมือนผ่านกระบวนการคิด และดูฉลาดมากขึ้นด้วย

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

10 Deadly Marketing Sins "ความผิดพลาด" ด้านการตลาด 10 ประการ

10 Deadly Marketing Sins

บาปร้ายแรงด้านการตลาด 10 ประการ
เป็นหนังสือของอาจารย์ฟิลิป คอตเลอร์ ซึ่งแปลโดยคุณ ดนัย จันทร์เจ้าฉาย

หนังสือเล่นนี้ออกมานานแล้ว เฉพาะหนังสือแปลก็ปี 2004
แต่เนื้อหาสาระไม่ได้เก่าไปตามหนังสือแต่อย่างใดครับ
ยังพบเห็นกรณี ”บาป” ได้อยู่เสมอในปัจจุบัน

ผมไม่ค่อยอยากเรียกว่า “บาป” เท่าใดนัก... เพราะดูมันมีระดับอ่อนไป
ผมอยากใช้คำว่า “ความผิดพลาดที่ทำให้ธุรกิจล้มเหลว” มากกว่า...
ให้สมกับผลกระทบที่มันเกิดขึ้นในองค์กรที่เพิกเฉยต่อ 10 ประการในหนังสือเล่มนี้



ความผิดพลาดที่ 1
องค์กรไม่รู้จักตลาดดีพอ และไม่ใส่ใจลูกค้าของตนเองดีพอ
แก้ไขโดย-การทำ STP (=Segmentation, Targeting and Positioning)

ความผิดพลาดที่ 2
องค์กรไม่เข้าใจ “กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย” ดีเพียงพอ รู้ไม่จริง
แก้ไขโดย-๑) ตรวจสอบ Need, Want, Desire, Attitude, Behavior ของลูกค้าอย่างละเอียดให้เข้าใจ แล้ว ๒) ทำให้คนในองค์กรและผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ ทำงานเน้นการสร้างความพึงพอใจสูงสุดกับลูกค้า Customer Satisfaction

ความผิดพลาดที่ 3
องค์กรไม่รู้ว่าใครคือ “คู่แข่ง” ที่สำคัญ และไม่รู้รายละเอียดของคู่แข่งเหล่านั้น โดยเฉพาะการเดินกลยุทธ์ของพวกเขา “คู่แข่ง”
แก้ไขโดย- เรียนรู้และเข้าใจ Competitors และ Competition เพื่อการสร้างกลยุทธ์ที่ดีในการแข่งขัน

ความผิดพลาดที่ 4
องค์กรไม่จัดการดูแล “ผู้มีส่วนได้เสีย” กับองค์กร
แก้ไขโดย-สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้มีส่วนได้เสียในระดับต่างๆ และ มีการทำเรื่องโปรแกรม Recognition หรือ Rewards

ความผิดพลาดที่ 5
องค์กรไม่สามารถค้นหาโอกาสใหม่ๆได้
แก้ไขโดย-พัฒนาระบบขึ้นมา เพื่อประเมินโอกาสใหม่ๆ แล้วจัดลำดับเพื่อหาโอกาสที่ดีที่สุด ตมสถานการณ์ในปัจจุบัน

ความผิดพลาดที่ 6
กระบวนการวางแผนขององค์กรไม่มีประสิทธิภาพ
แก้ไขโดย-ต้องมีการทำแผนการตลาดที่มีมุมมองหรือเป้าหมายทั้งระยะสั้นและระยะยาว

ความผิดพลาดที่ 7
นโยบายด้านผลิตภัณฑ์และบริการ ไม่รัดกุมเพียงพอ
แก้ไขโดย-มุ่งเน้นการใส่ใจไปที่สองส่วน คือ Marketing Mix และ Product Mix

ความผิดพลาดที่ 8
องค์กรด้อยในทักษะการสร้างแบรนด์และการสื่อสาร
แก้ไขโดย-เน้นสร้างแบรนด์ที่เข้มแข็ง โดยมุ่งการทำการส่งเสริมการตลาดและการขายที่คุ้มค่าการลงทุน และใช้เครื่องมือทางการสื่อสารเข้ามาช่วยเหลือ

ความผิดพลาดที่ 9
การจัดองค์กรไม่ดีพอที่จะทำให้การทำการตลาดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
แก้ไขโดย-เน้นไปที่เป้าหมายการเป็นผู้นำตลาด และมุ่งเน้นการสร้าง “Teamwork” ทั่วทั้งองค์กร
(สมัยใหม่จะมีการใช้คำว่า Engagement มากขึ้น)

ความผิดพลาดที่ 10
องค์กรไม่ได้ใช้หรือไม่ได้นำมาใช้ในเรื่องเทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์
แก้ไขโดย-เรียนรู้แนวโน้มของเทคโนโลยี และทำการจัดหาและ/หรือปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อการได้เปรียบในการแข่งขันอย่างสม่ำเสมอ

ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงที่สุด
อ๋อ ขอรับ

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554

9 ประเภทของแม่ทัพ หรือ “ผู้นำ” ตามแนว "ขงเบ้ง"...

ประเภทของแม่ทัพ หรือ “ผู้นำ” ตามแนวขงเบ้ง

ขงเบ้งแบ่งประเภทของแม่ทัพ หรือ “ผู้นำ” ออกเป็น 9 ประเภทด้วยกัน
ลองดูนะครับว่าเราเป็นแม่ทัพประเภทไหน
หรือเจ้านายของเรา จัดว่าเป็นแม่ทัพหรือเปล่า?  (หรือเป็นแค่นายกอง)



1.    แม่ทัพผู้ทรงความเมตตา
เป็นคนที่มีคุณธรรมสูง มีพฤติกรรมที่ดีเป็นแบบอย่างลูกน้องได้ “เอาใจใส่ความเป็นอยู่ของลูกน้อง” หรือผู้ใต้บังคับบัญชา ว่ามีความต้องการอะไรบ้าง มีความเดือดร้อนเรื่องใดบ้าง

2.    แม่ทัพผู้ทรงธรรม
ทรงธรรมในที่นี้ นัยจะหมายถึง ผู้ทรงไว้ซึ่งความเที่ยงตรง ทำงานตรงไปตรงมา “ซื้อด้วยเงินไม่ได้” นั่นคือ มีความซื่อสัตย์ เสียสละชีวิตได้เพื่อรักษาเกียรติยศและศักดิ์ศรี
...ถึงตรงนี้ ผมนึกถึง “กวนอู” ในสามก๊กครับ...

3.    แม่ทัพผู้ทรงจริยา
เป็นแม่ทัพที่เก่ง ยอดเยี่ยม แต่ไม่แสดงออก คือ ถ่อมตน ไม่เย่อหยิ่ง ไม่จองหอง(พองขน) รู้จังหวะการทำศึก รู้อดทน พร้อมกับมีความกล้าหาญ

4.    แม่ทัพผู้ทรงปัญญา
มีความคิดกว้างขวางและลึกซึ้ง สามารถพลิกแพลงกลยุทธ์ได้เก่งกาจ แยบคาย และยังสามารถพลิกสถานการณ์จากเป็นรอง ขึ้นมามีชัยได้ด้วยปัญญา
...ตรงนี้ ที่ผมพอนึกได้ ก็น่าจะเป็น “เกียงอุย” เด็กสร้างของท่านขงเบ้งเขาล่ะ...

5.    แม่ทัพผู้ทรงสัจจะ
ผู้นี้จะเน้นความตรงไปตรงมาเช่นกัน โดยยึดกฎเกณฑ์เป็นตัวตั้ง ลงโทษตามกฎ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง หากทำชอบก็ให้รางวัลตามกฎเกณฑ์อย่างไม่รอช้า ประมาณว่า “ว่ากันตามเนื้อผ้า” นั่นเอง

6.    แม่ทัพผู้ทรงพลัง
ต้องบอกว่า คนผู้นี้มีฝีมือเก่งกาจในการรบ การต่อสู้ ไม่มีหวั่นต่อภัยอันตราย กล้าหาญชาญชัย ฝีมือเทียบได้กับคนนับพันๆคน เชี่ยวชาญในอาวุธทุกชนิด
...คนคนนี้ หากผมต้องจัดลำดับ คงต้องยกให้ “จูล่ง” วีรบุรุษแห่งเสียงสาน...

7.    แม่ทัพผู้ฉกาจ
เป็นแม่ทัพที่ลุยนำหน้าเวลาออกศึก แต่เมื่อล่าถอยก็คอยคุมหลังไม่ให้โดนโจมตีกลับ ต้องบอกว่าคนคนนี้เป็นประเภท “ผู้นำตัวจริง” คือ ลุยก่อนเลย
...จะว่าไปแล้ว ตรงนี้ต้องเป็น “เตียวหุย” อย่างแน่นอน ผู้อาสาออกทัพเป็นคนแรกเสมอ...

8.    แม่ทัพผู้องอาจ
ที่เด่นของแม่ทัพผู้นี้ คือ “ความกล้าหาญ” ไม่กลัวใคร ไม่รู้ว่าจะใหญ่มาจากไหน เขาก็ไม่กลัว กล้าที่จะประจัญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ แต่ก็ไม่ประมาทศัตรูแม้จะเป็นศึกเล็กๆ

9.    แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่
ดูแล้วแม่ทัพประเภทนี้จะดูดีมากๆครับ มีคุณธรรมสูง มีบารมีสูง(มีพระคุณมาก แต่ก็มีพระเดชด้วย) มีความนอบน้อม ไม่หยิ่งทนงตนว่าเก่ง แม้จะมีความสามารถและบารมีสูงก็ตาม มีใจกว้าง รับฟังความเห็นของทุกๆคน มีความกล้าหาญและมีอุบายในการทำงานด้วยเช่นกัน
...แม่ทัพผู้นี้ แน่นอนครับ ต้องยกให้ “เล่าปี่” อย่างไม่ต้องสงสัย เล่าปี่ผู้นำของจ๊กก๊กในสามก๊ก...

จากหนังสือ “พิชัยสงครามขงเบ้ง” หนังสือเล่มนี้แปลจากต้นฉบับภาษาจีน โดย "อมร ทองสุก"

ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงที่สุด
อ๋อ ขอรับ

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พฤติกรรม เกิดจาก บุคลิกภาพ และ สถานการณ์

พฤติกรรม เกิดจาก บุคลิกภาพ และ สถานการณ์


หนังสือ "คุณค่าคน คุณค่างาน" ของ อาจารย์ จิรประภา อัครบวร เล่มนี้

อธิบายประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ไว้น่าสนใจหลายประเด็น




หนึ่งประเด็นที่ผมชอบ คือ...

การกล่าวถึง "พฤติกรรม" ของคน ซึ่งจะสัมพันธ์อยู่กับสิ่ง 2 สิ่ง คือ

๑) บุคลิกภาพ และ
๒) สถานการณ์

โดยจะได้สมการออกมาเป็นดังนี้ คือ

 Behavior = f (Personality x Environment)

-----------------------------------
      B = f ( P * E )
-----------------------------------

โดยสรุปก็คือว่า...

คนทุกคนจะแสดงออกทางพฤติกรรม ตามสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่
เช่น ใครบางคนจะพูดมากเมื่ออยู่กับเพื่อน
   แต่ใครคนนี้จะไม่พูดหรือพูดน้อยเมื่ออยู่ในการประชุม เป็นต้น

ดังนั้น "สภาพแวดล้อม" จึงมีอิทธิพลที่สำคัญมากกว่าบุคลิกภาพ

(ตรงนี้น่าจะสัมพันธ์กับบทความที่แล้ว ที่ขงเบ้งใช้สถานการณ์ที่ง 7 อย่าง เพื่อเรียนรู้(พฤติกรรมของ)คน)