วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พิชัยสงครามขงเบ้ง ตอน "การดูคน"

พิชัยสงครามขงเบ้ง ตอน "การดูคน"

หนังสือเล่มนี้แปลจากต้นฉบับภาษาจีน โดย "อมร ทองสุก"



ผมถือว่า "ขงเบ้ง" เป็นผู้หนึ่งที่เก่งสุดยอดปรมาจารย์ด้านการดูคน และ ใช้คนครับผม

หลักของการดูคน "ว่าด้วยกลวิธีในการดูคน 7 ประการ" จากหนังสือ คือ

1. ยุแหย่ด้วยเรื่องดีร้าย แล้วสังเกตดูซึ่งปณิธาน
2. บริภาษให้อับจน แล้วสังเกตดูซึ่งปฏิภาณ
3. สอบถามซึ่งกลยุทธ์ แล้วสังเกตดูซึ่งปัญญา
4. บอกกล่าวซึ่งเคราะห์ภัย แล้วสังเกตดูซึ่งความกล้า
5. มอมเมาด้วยสุรา แล้วสังเกตดูซึ่งอุปนิสัย
6. ผูกมัดด้วยอามิส แล้งสังเกตดูซึ่งความสุจริต
7. มอบหมายภาระกิจให้ทำในเวลาที่จำกัด แล้วสังเกตดูซึ่งสัจจะ

ลองปรับใช้กันดูนะครับ...
เพราะผู้นำต้องทำหน้าที่ให้ครบทั้ง 4 ส่วน คือ
POLC
Planning, Organizing, Leading and Control

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Teamwork makes the dream work

This little book states well...
the mechanics of teambuilding and teamworkmanship



In the end it shows that...
these mechanics can be summarized into...

ten distinct steps:

(1) deciding on the importance of having a team;
(2) assemblying a competent team;
(3) doing what it takes to develop the team;
(4) working like a team;
(5) delegating power, responsibility to the team;
(6) giving, not taking, credit for the success of the team;
(7) collecting and sharing the returns from investment in the team's efforts;
(8) divesting from underperforming team members;
(9) opening and expanding opportunities for team growth;
(10) giving the team the reason, resources, and the chance to succeed.

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คนเราคิดเร็วกว่าพูดถึง 5 เท่า

คนเราคิดเร็วกว่าพูดถึง 5 เท่า

We think much faster than we can speak
คนเราคิดเร็วกว่าพูดถึง 5 เท่า
ไม่น่าเชื่อ... แต่น่าคิด...
หนังสือ Persuasion ของ James Borg เป็นอีกเล่มหนึ่งที่น่าอ่านมากๆ



ผมยกตัวอย่างหัวข้อน่าสนใจหัวข้อหนึ่งมาให้ดู คือ เรื่องการคิดเร็วกว่าพูด
ความเร็วของการสนทนาของคนเรา อยู่ที่ 120 ถึง 150 คำต่อนาที
ส่วนการคิดของคนเรามีความเร็วอยู่ที่ 600 ถึง 800 คำต่อนาที
ไม่รู้ใครทำวิจัยไว้... ทำวิจัยด้วยวิธีอะไร...
แต่ช่างมันเถอะครับ....
ลองนึกๆตามไป ผมก็ว่าน่าจะจริงนะครับ...

นี่ก็แสดงว่า คนเราคิดมากกว่าสนทนา ประมาณ 4-5 เท่าทีเดียว

ประเด็นสำคัญก็คือ...
เมื่อเราคิดมากๆ และมากกว่าการพูดคุย...
หรือในจังหวะของการฟังอีกฝ่ายคุย (เรากำลังฟัง Listening)
แล้วเราคิดอะไรมากๆ...หรือคิดไปเรื่องอื่น
(ขาดใจจดจ่อ Concentration)
การฟังของเราก็จะไม่สัมฤทธิ์ผล...
ซึ่งหมายถึงว่า เราจะฟังไม่เข้าใจทั้งหมดในสิ่งที่คนพูดกำลังจะสื่อสารมายังเรา...

ดูเหมือนคุณกำลังฟัง แต่คุณไม่ได้ยินอะไรเลย!
(You may look as you’re listening, but you’re not actually hearing anything!)

ดังนั้น...
การฟังที่มีประสิทธิผล คือ...
ต้องมีสติ และ มีใจจดจ่อ Concentration
กับสิ่งที่ผู้พูดหรือคู่สนทนากำลังจะสื่อให้เรารู้และเข้าใจ

อย่างน้อยที่สุด...
ประโยชน์ที่ได้คือ การสนทนาที่โต้ตอบกับอย่างดี ประเด็นต่อเนื่อง
จะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคู่สนทนาในระยะยาวครับผม...

ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงที่สุด
อ๋อ ขอรับ

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Leader say “I don’t know”...

Leader say I don’t know”...

เมื่อผู้นำกล่าวว่า “ผมไม่รู้”...
ไม่ได้หมายถึงว่า ผู้นำไม่มีความรู้ knowledge...
แต่ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ใช้คำ “ผมไม่รู้” นี้ในความหมายที่จะผลักดันให้พนักงานออกไปค้นหา ลองทำ สร้างงานออกมา
นี่ถือเป็นการเปิดประเด็นมุมมองใหม่ของ Tom Peters ในหนังสือ leadership



ผู้นำที่ชอบออกคำสั่งและควบคุมการทำงานให้เป็นไปตามคำสั่งนั้น
เป็นผู้นำที่มีความวิตกกังวลในการนำทีมงาน...
จึงใช้วิธีสั่งการโดยตรง Command
คนประเภทนี้เหมือนๆจะทำตัวเป็นคนรู้ทุกเรื่อง...รู้ไปหมด
แต่ในความเป็นจริงแล้ว... ไม่มีใครรู้ทุกเรื่องหรอกครับ

จริงๆว่าไปแล้วก็อาจจะมีผู้ตามบางคนก็ชอบแบบนี้เหมือนกันนะครับ
โดยเฉพาะพนักงานที่ไม่มีการพัฒนาตนเอง
หรือไม่มีความกระตือรือร้นในการทำงานให้สำเร็จขนิดที่เรียกว่าดีเลิศ เกินความคาดหวัง
พนักงานหลายคนทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม
ก็อย่างว่าแหล่ะครับ...เป็นพนักงานประเภทนี้ ทำตามคำสั่งก็งานน้อยดี
ผิดพลาดอะไร เจ้านาย(แก)รับไป...
แบบนี้องค์กรคงแย่แน่ครับ...
ดังนั้น...
Tom จึงแนะนำว่า ผู้นำที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้นั้น
ต้องพูดเสมอๆว่า “ผมไม่รู้” แล้วทำการกระตุ้นให้ทีมงานออกไปคิด ไปสร้าง ไปลองทำอะไรใหม่ๆ
ค้นหาคำตอบให้กับตัวพวกเขาเอง
คล้ายๆกับการทำเรื่อง Coaching เลยครับ
Coach มีหน้าที่กระตุ้นให้อยาก แล้วไปค้นหาคำตอบเอง...

ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงที่สุด
อ๋อ ขอรับ

วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

“ผู้นำ” ต้องนำการเปลี่ยนแปลง

“ผู้นำ” ต้องนำการเปลี่ยนแปลง

ปัจจุบัน...
ถือว่า... การนำการเปลี่ยนแปลงในองค์กรนั้น...
จะกลายเป็นหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งของ “ผู้นำ” ไปแล้วก็ว่าได้...
เพราะโลกและสังคมมันเปลี่ยนแปลงเร็วมาก
จนต้องมี “ใครบางคน” คอยนำหรือคอยจัดการการเปลี่ยนแปลงนั้น...
เพื่อให้กลุ่มอยู่รอดได้...

หนังสือ “Active Leader 360o” เล่มนี้...
มีเรื่องที่น่าสนใจอยู่หลายเรื่องด้วยกัน...



เรื่องที่ผมอยากกล่าวไว้ ณ ที่นี้ คือเรื่อง “ผู้นำ.. ต้องนำการเปลี่ยนแปลง”
ผู้นำที่ดี คือคนที่สามารถทำให้พนักงาน เติบโตทางความคิด ความรู้ และทักษะ เพื่อความก้าวหน้า
ผู้นำที่ดี ต้องมีความสามารถในการสื่อสารและสร้างแรงบันดาลใจ
ผู้นำที่ดี ต้องกระตุ้นและเชื้อเชิญให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วม
ผู้นำที่ดี ต้องรู้จักคุณค่าของพนักงานทุกคน
ผู้นำที่ดี ต้องกล่าวชมคนที่นำเสนอความคิดริเริ่มดีๆ (ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงขององค์กรที่ดีขึ้น)
และ...
ผู้นำที่ดี ต้องมองออกว่า พนักงานคนใดเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงจนไม่อาจแก้ไขได้ และกล้าหาญพอที่จะบอกเลิกจ้าง

ลองหาอ่านดูครับ...

ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงที่สุด
อ๋อ ขอรับ


วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Google-Translation Toolbar แปลไทย “ขำดีง่ะ!” – สุดยอดครับ...สุดยอด!

Google-Translation Toolbar แปลไทย “ขำดีง่ะ!” – สุดยอดครับ...สุดยอด!

ผมลองใช้เครื่องมือของกูเกิ้ลตัวหนึ่ง..
เป็นเครื่องมือแปลภาษา “ไทย-อังกฤษ”...ผมชอบครับ
ชอบที่เป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์มหาศาลต่อชาวโลก...
ชอบที่มันช่วยการใช้งานได้เกือบทุกประเภทงานที่จำเป็น... โดยเฉพาะในการเล่นเน็ต



แต่ก็มีเรื่องขำๆเหมือนกันครับ...กับเครื่องมือนี้
ไม่แน่ใจว่า “ท่านลองหรือยัง?”
ผมขอยกตัวอย่างขำๆมาให้ท่านดูเล็กน้อยนะครับ...

ประโยคไทยผมเขียนว่า “Starbucks แพง แต่ทำไมมีคนรักทั้งบ้านทั้งเมือง!
กูเกิ้ลแปลให้ผมว่า “Starbucks. expensive but I love the house and city!
(ไหง๋กลายเป็นผมเป็นคนรักบ้านรักเมืองไป-ซะงั้น...)
สุดยอดครับ... สุดยอด!

ประโยคไทยผมเขียนว่า “รับเรื่องที่เป็นปัญหา”
กูเกิ้ลแปลให้ผมว่า “and that is the problem
(ไหง๋กลายเป็นปัญหาไปซะเอง-ซะงั้น...)
สุดยอดครับ... สุดยอด!

ประโยคไทยผมเขียนว่า “ลูกค้าต้องการการตอบสนองเดี๋ยวนี้ ณ เวลานี้”
กูเกิ้ลแปลให้ผมว่า “I want to meet at this time.
(ไหง๋กลายเป็นผมเองต้องการ-ซะงั้น...)
สุดยอดครับ... สุดยอด!

ประโยคไทยผมเขียนว่า “ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงที่สุด... อ๋อ ขอรับ
กูเกิ้ลแปลให้ผมว่า “I got to the end.... Oh request.
(555... ไหง๋กลายเป็น Oh request ไป-ซะงั้น...)
สุดยอดครับ... สุดยอด!

ป.ล. ถึงอย่างไรก็เป็นแฟนพันธุ์แท้ของ “กูเกิ้ล” นะขอรับ (Oh request... 555..)




“ค้นหาตนเองเจอ ก็เป็นสุข”

“ค้นหาตนเองเจอ ก็เป็นสุข”

แต่ละคนมีที่มา... มีที่จะไป...
ล้วนแตกต่างกัน...
ไม่แปลกหรอกครับ

เอาแค่เรื่องจริตชนิดของคน... แต่ละคนก็แตกต่างกัน... แม้จะอยู่ในหมวดจริตเดียวกัน
ผมเป็นคนโทสะจริตครับ...
มีอีกหลายคนที่เป็นประเภทโทสะจริตเหมือนผม... แต่ไม่เหมือนผมนะครับ...
เพราะเราดูแค่ประเภทไม่พอ... ต้องดูให้ลึกและกว้างกว่านี้...
เช่น...
ระดับโทสะที่แตกต่างกัน
สิ่งที่มากระตุ้นที่ต่างกัน
ย่อมสร้างผลลัพธ์ที่ออกมาแตกต่างกัน...

วันนี้มีคนมาเล่าให้ฟังว่า...
มีนาย ก(นามสมมุติ) พึ่งไปทำบุญมา
ขากลับเจอคนขับรถปาดหน้า... บันดาลโทสะ...ขับรถไล่เบียดกันไปมา
ผลปรากฏว่า...
ลงมาชกต่อยกัน และแทงกันตาย...
ผมได้ฟังแล้ว รู้สึกอยู่อย่างเดียวครับ... “ไม่น่าเลย!

เราจึงต้องค้นหาตัวตนของเราเองให้เจอครับ... ถึงไม่มาก เจอบ้างก็ยังดี
แล้วเรียนรู้ ปรับตัวเราเองให้ได้มากพอ...ที่จะใช้ชีวิตอย่างมีสุขในแต่ละวัน



พระท่านว่า...
ชีวิตในทุกวันๆ มันก็มีทุกข์มากพออยู่แล้วครับ...
อย่าได้เอาทุกข์อื่นๆมาทับถมตัวเองอีกเลย...
โดยเฉพาะทุกข์ที่เกิดขึ้นข้างนอกตัวเรา

ใครค้นหาตัวตนของตัวเองเจอก่อน...มีสุขก่อนครับ...

ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงที่สุด
อ๋อ ขอรับ

Books หนังสือดี อ่านทีไร ได้ feel ทุกที !

หนังสือดี อ่านทีไร ได้ feel หรือ ประเด็นใหม่ๆเสมอ...

ผมชอบอ่านหนังสือมากครับ

ประมาณว่า...
วันไหนไม่ได้อ่านหนังสือ
จะรู้สึกเหมือน "กินยาไม่ได้เขย่าขวด"
ชีวิตมันจะรู้สึกขาดอะไรไปอย่าง... สองอย่าง...

กิจวัตรประจำวันที่เกี่ยวข้องกับหนังสือของกระผม คือ...
ตื่นเช้ามา เข้าห้องน้ำกับหนังสืออะไรก็ได้ "หนึ่งเล่ม"
ส่วนมากก็จะเป็น หนังสือเล่มที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุด
หรือไม่ก็... เล่มที่อยู่ใกล้ห้องน้ำมากที่สุด...
(เหม็นหรือเปล่า...อันนี้ไม่ตอบครับ)




แล้วทุกอย่างก็ "ไหลไปตามน้ำ"...
ชีวิตสุขีทุกเช้ากับหนังสือครับผม

ก็อย่างที่บอก...ผมอ่านเล่มเดิมๆได้ไม่รู้เบื่อ...
เพราะทุกครั้งที่อ่าน "มันไม่เหมือนเดิม"...

ต่างกรรมต่างวาระ...
ทัศนะย่อมเปลี่ยนไป...

มีคนเคยบอกว่า...
"เราทุกคน เปลี่ยนตัวเองอยู่ทุกวัน"
เนื่องจากแต่ละวันที่ผันผ่านไป...
เราทุกคนจะได้รับอะไรๆเข้ามาสู่ตัวเราเสมอ
ผลกระทบไปสู่ความคิดของเราเอง
ตลอดเวลา...

บทความหนึ่งจากหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่เคยอ่านมานานแล้ว
ให้แง่คิดที่ดีอย่างหนึ่ง... ที่ผมนึกถึงอยู่ตลอดมา คือ...
ชีวิตของคนเรานั้น...
เป็นกระบวนการตอบสนองสิ่งกระตุ้นที่เข้ามาสู่ตัวเรา(ตลอดเวลา)
โดยเราจะต้องตัดสินใจอยู่ตลอดเวลาว่า...
จะเลือกทางไหน...(จากสิ่งที่สมองเราคิดมาให้เราเองเลือกหลายๆทาง)
เป็นกระบวนการที่เรียกว่า Feedback นั่นเองครับผม
มันจะเกิด cycle ที่วนไปไม่มีที่สิ้นสุด...

Books หรือ หนังสือที่เราอ่าน...
ก็เป็นแหล่งข้อมูลทางหนึ่งที่ตัวเราเองจะนำไปสร้างทางเลือกให้กับชีวิตเรา...
Feeling ความรู้สึกที่เกิดขึ้น...
เป็นสิ่งที่เป็นทั้งผลและเหตุของการใช้ชีวิตของเราเช่นกัน...

คำถามทิ้งท้าย คือว่า...
ท่านอ่าน Books อะไรบ้างในแต่ละวัน ?
ท่านมี Feeling ในแต่ละช่วงเวลาของวันเป็นอย่างไรบ้าง ?
และ ท่านได้ใช้สิ่งเหล่านี้ เพื่อทำชีวิตให้ "ถึงพร้อม" ได้มากน้อยแค่ไหน ?

ลองตอบตัวท่านเอง "เล่นๆ" นะครับ...


วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

“พรุ่งนี้รวย วันนี้จน” 555!

“พรุ่งนี้รวย วันนี้จน” 555!

“พรุ่งนี้รวย”
ได้ยินประโยคนี้... แทบไม่ต้องเงยหน้าก็รู้ว่าขายอะไร...
ไม่ใช่แค่คนไทยนะครับ
จากประสบการณ์ผม หลายๆประเทศในเอเชีย ก็ชอบทางนี้เหมือนกัน...

ที่จับเรื่องนี้ขึ้นมา
เพราะวันก่อนไปเปิดหนังสือพิมพ์เจอหน้านี้ครับ



เลยขำๆว่า...
คนส่วนใหญ่เห็นแล้ว คงร้องว่า...”ถูก(กิน)อีกแล้วตู!
หรือไม่ก็อาจอุทานว่า...
“ล็อคแง๋ๆ!

ส่วนผมเอง ไม่เล่น ไม่ขาย ไม่ซื้อครับ...
เห็นแล้วก็ขำๆว่า...
เลขที่เห็น “555” มีสองแห่ง (หาเจอกันหรือเปล่าครับ?)
เหมือนมันจะหัวเราะ “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ! เยาะเย้ยกันยังไงไม่รู้...

“พรุ่งนี้รวย วันนี้จน” 555 !!!

ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงที่สุด
อ๋อ ขอรับ

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

CSR มีมุมมองมากกว่าที่คิด

CSR มีมุมมองมากกว่าที่คิด

เราพูดถึงเรื่อง CSR กันอยู่บ่อยๆ
หรืออย่างน้อยก็ได้ยินมาบ้างว่า...
บริษัทต้องทำ CSR !

ส่วนมาก คนทั่วไปจะนึกกันถึงเรื่อง การออกไปทำประโยชน์ต่อสังคม
ตัวอย่างเช่น...
SCG ทำเรื่องเขื่อน/ฝายและต้นน้ำ
Honda ทำเรื่องการขับขี่ปลอดภัย
เป็นต้น

ความเป็นจริงแล้ว...
CSR มีการปฏิบัติได้อยู่หลายแนวทางครับผม...

















 

ในหนังสือของ P. Kotler and N. Lee ขยายความเกี่ยวกับ CSR ได้กว้างขวาง
ชัดเจนมากขึ้น...
โดยพูดถึง กิจกรรม 6ประเภทหลักในการทำเรื่องนี้ ได้แก่
1.       การส่งเสริมประเด็นทางสังคม
Dell ใช้แนวทางการรวบรวมคอมพิวเตอร์เก่า เพื่อนำไปให้องค์กรไม่หวังผลกำไร หรือ ภาครัฐ เพื่อใช้ประโยชน์
2.       การทำการตลาดด้วยประเด็นทางสังคม (โดยตรงกับธุรกิจ)
Dell ลดราคาให้ 10% เมื่อซื้อสินค้าตัวใหม่ หากผู้ซื้อนำสินค้าเก่ามา recycle
3.       การทำการตลาดเพื่อสังคม
McDonald’s ส่งเสริมโครงการสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับเด็กๆในแต่ละช่วงอายุ อย่างเหมาะสม
4.       การบริจาค
5.       การใช้รูปแบบอาสาสมัคร
6.       การวางกฎระเบียบ/วิธีปฏิบัติขององค์กรด้านความรับผิดชอบต่อสังคม
กิจกรรมในข้อนี้ ผมชอบของ Dell ที่เริ่มตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ส่งผลต่อสภาวะแวดล้อมน้อยที่สุด
เช่น...
ออกแบบให้ใช้วัสดุอุปกรณ์จำนวนน้อยที่สุด
และวัสดุที่ใช้ ก็ออกแบบให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ด้วย
สุดยอดครับผม !